
06 รถพ วง
รถบรรทุก 4 ล้อ รถหกล้อ รถสิบล้อ และอื่นๆ ขนสิ่งของตามกฎหมายน้ำหนักรถบรรทุกสูงสุดได้กี่ตัน
ในแวดวงธุรกิจโลจิสติกส์นั้น การบรรทุกสิ่งของต่างๆ ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายน้ำหนักรถบรรทุกระบุไว้เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ไม่แพ้เรื่องต้นทุนในการขนส่งสินค้าเลย หากธุรกิจใดต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาจากการใช้รถบรรทุก 4 ล้อ รถหกล้อ รถสิบล้อ หรือรถพ่วงแล้วเผลอบรรทุกน้ำหนักเกิน วันนี้มิชลินจะมาอัปเดตข้อมูลน้ำหนักบรรทุกสูงสุดตามกฎหมายกำหนด ว่ารถแต่ละแบบขนของได้มากสุดกี่ตัน
กฎหมายน้ำหนักรถบรรทุกคืออะไร ครอบคลุมรถแบบไหนบ้าง
กฎหมายน้ำหนักรถบรรทุกคือข้อกำหนดที่ควบคุมน้ำหนักรวมของรถบรรทุกและสินค้าที่บรรทุก รวมถึงน้ำหนักที่ลงบนเพลาของรถแต่ละคันไม่ให้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยมีวัตถุประสงค์หลักดังนี้
-
ความปลอดภัย: รถที่บรรทุกน้ำหนักเกินพิกัดจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการควบคุมรถ การเบรก และการทรงตัวลดลงอย่างมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
-
การถนอมผิวจราจรและโครงสร้างพื้นฐาน: น้ำหนักที่มากเกินไปจะสร้างความเสียหายต่อถนน สะพาน และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ทำให้เกิดการชำรุดทรุดโทรมก่อนเวลาอันควร และสิ้นเปลืองงบประมาณในการซ่อมแซม
-
ความเป็นธรรมในการแข่งขัน: ป้องกันการได้เปรียบเสียเปรียบของผู้ประกอบการที่ลักลอบบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนด ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎอย่างสุจริต
กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องอย่าง พระราชบัญญัติทางหลวง (พรบ.ทางหลวง) และกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว ระบุเอาไว้ว่ามีโทษปรับสูงถึง 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้ใดที่บรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยมีกรมการขนส่งทางบก (DLT) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย
กฎหมายน้ำหนักรถบรรทุกครอบคลุมรถแบบไหนบ้าง? และมีพิกัดน้ำหนักเท่าไหร่?
โดยทั่วไปแล้ว กฎหมายควบคุมน้ำหนักรถบรรทุกจะครอบคลุมยานพาหนะทุกประเภทที่ใช้ในการขนส่งสินค้าบนท้องถนน ตั้งแต่รถบรรทุก 4 ล้อขนาดเล็กไปจนถึงรถหกล้อ รถสิบล้อ และรถพ่วงขนาดใหญ่ โดยมีพิกัดน้ำหนักสูงสุดแตกต่างกันไปตามจำนวนเพลาและล้อของรถนั้นๆ ซึ่งค่าที่กล่าวถึงนี้คือ น้ำหนักรวมบรรทุก (Gross Vehicle Weight - GVW) หรือ น้ำหนักของตัวรถรวมกับสินค้าที่บรรทุก
พิกัดน้ำหนักรวมบรรทุกสูงสุดตามประเภทรถ
รถบรรทุก 2 เพลา 4 ล้อ
- พิกัดน้ำหนักรวมบรรทุกสูงสุด: ไม่เกิน 9,500 กิโลกรัม (9.5 ตัน)
รถบรรทุก 2 เพลา 6 ล้อ
- พิกัดน้ำหนักรวมบรรทุกสูงสุด: ไม่เกิน 15,000 กิโลกรัม (15 ตัน)
รถบรรทุก 3 เพลา 10 ล้อ
- พิกัดน้ำหนักรวมบรรทุกสูงสุด: ไม่เกิน 25,000 กิโลกรัม (25 ตัน)
รถบรรทุก 4 เพลา 12 ล้อ
- พิกัดน้ำหนักรวมบรรทุกสูงสุด: ไม่เกิน 30,000 กิโลกรัม (30 ตัน)
รถลากจูงกึ่งพ่วง (Semi-trailer) หรือรถพ่วง (Full trailer) แบบต่างๆ
- รถรวม 4 เพลา (14 ล้อ): เช่น รถลากจูง 2 เพลา (6 ล้อ) พ่วงกับกึ่งพ่วง 2 เพลา (8 ล้อ)
- พิกัดน้ำหนักรวมบรรทุกสูงสุด: ไม่เกิน 45,000 กิโลกรัม (45 ตัน)
- รถรวม 5 เพลา (18 ล้อ): เช่น รถลากจูง 2 เพลา (6 ล้อ) พ่วงกับกึ่งพ่วง 3 เพลา (12 ล้อ)
- พิกัดน้ำหนักรวมบรรทุกสูงสุด: ไม่เกิน 50,500 กิโลกรัม (50.5 ตัน)

Edito photo ppl small truck Craftmen
รถบรรทุกแต่ละประเภทห้ามวิ่งหรือติดเวลาช่วงไหนบ้าง
นอกเหนือจากเรื่องของกฎหมายน้ำหนักรถบรรทุกที่บรรดาผู้ประกอบการขนส่งโลจิสติกส์จะต้องคำนึงถึงแล้ว ประเด็นอย่างเรื่องระยะเวลาที่รถบรรทุกหกล้อ สิบล้อ ไปจนถึงรถพ่วงแบบต่างๆ สามารถวิ่งใช้งานได้ตามแต่ละโซน ก็ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ เพราะหากเผลอบรรทุกสิ่งของออกไปในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ว่าห้ามวิ่ง ก็จะผิดกฎหมายและถูกปรับจนเสียเงินโดยใช่เหตุในที่สุด เพื่อไม่ให้เสียเวลา มิชลินจะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องเวลาเหล่านี้ให้มากขึ้น
ช่วงเวลาห้ามเดินรถบรรทุกแต่ละประเภทบนถนนในกรุงเทพมหานคร
ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมการเดินรถบรรทุกอย่างเข้มงวด เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเร่งด่วน กฎเกณฑ์เหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามประเภทและขนาดของรถบรรทุก รวมถึงวันและเวลาที่กำหนด ซึ่งบรรดาผู้ประกอบการและผู้ขับขี่จำเป็นต้องทราบข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนกฎหมายและเสียเวลาในการเดินทางโดยใช่เหตุ
1. สำหรับรถบรรทุก 6 ล้อ
ระยะเวลาห้ามเดินรถจะอยู่ระหว่าง 06:00 – 09:00 น. และ 16:00 – 20:00 น. (เว้นวันหยุดราชการ) ซึ่งถือว่ามีข้อจำกัดการเดินรถที่ยืดหยุ่นกว่ารถ 10 ล้อขึ้นไป อย่างไรก็ตาม อาจมีสิ่งต่างๆ ที่ต้องคำนึงถึงอยู่บ้างดังนี้
-
บางถนนหรือบางเส้นทาง: อาจมีประกาศห้ามเดินรถหกล้อในช่วงเวลาเร่งด่วนเช่นเดียวกับรถสิบล้อขึ้นไป หรือมีข้อจำกัดเฉพาะบนถนนบางสายที่มีการจราจรหนาแน่นเป็นพิเศษ
-
การขนส่งสินค้าบางประเภท: รถบรรทุกหกล้อที่ใช้ขนส่งสินค้าจำเป็น เช่น อาหารสด อาหารแช่แข็ง อาจได้รับการผ่อนผันในบางกรณี แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
2. สำหรับรถบรรทุกตั้งแต่ 10 ล้อขึ้นไป (รวมถึงรถพ่วงและรถกึ่งพ่วง)
นี่คือประเภทรถบรรทุกที่มีข้อจำกัดการเดินรถเข้มงวดที่สุด เนื่องจากมีขนาดใหญ่และส่งผลกระทบต่อการจราจรมากที่สุด กฎหมายจึงได้มีการกำหนดเวลาห้ามวิ่งรถในเขตกรุงเทพมหานครดังนี้
วันจันทร์ - วันศุกร์ (วันทำการปกติ)
-
ช่วงเช้า: เวลา 06.00 น. – 10.00 น.
-
ช่วงเย็น: เวลา 15.00 น. – 21.00 น.
วันหยุดราชการ และ วันเสาร์ - อาทิตย์
- ในช่วงเวลานี้รถบรรทุกตั้งแต่ 10 ล้อขึ้นไปสามารถเดินรถได้ตามปกติ ยกเว้นถนนบางสายที่อาจมีข้อจำกัดเฉพาะตามประกาศเพิ่มเติม หรือข้อจำกัดสำหรับรถบรรทุกวัตถุอันตราย
3. สำหรับรถบรรทุกวัตถุอันตราย
รถบรรทุกที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตราย จะมีข้อจำกัดที่เข้มงวดที่สุดและแตกต่างจากรถบรรทุกทั่วไป เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนทั่วไปที่สัญจรไปมาบนท้องถนน
-
ห้ามเดินรถเวลา 06:00 – 22:00 น. ทุกวัน (เว้นวันอาทิตย์)
-
อนุญาตให้เดินรถได้เฉพาะใน บางเส้นทางที่กำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งมักจะเป็นเส้นทางเลี่ยงเมืองหรือช่วงเวลากลางคืนดึกๆ เท่านั้น
ช่วงเวลาห้ามเดินรถบรรทุกแต่ละประเภทบนทางด่วน
เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ได้กำหนดช่วงเวลาห้ามเดินรถบรรทุกแต่ละประเภทอย่างชัดเจน โดยมีถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ทั้งด้านตะวันตกและตะวันออก เป็นตัวกำหนดขอบเขตหลักในการบังคับใช้กฎหมาย ดังนี้
1. สำหรับรถบรรทุก 6 ล้อ
- ห้ามวิ่งในช่วงเวลาเร่งด่วน
- ช่วงเช้า: เวลา 06.00 น. – 09.00 น.
- ช่วงเย็น: เวลา 16.00 น. – 20.00 น.
2. สำหรับรถบรรทุกตั้งแต่ 10 ล้อขึ้นไป (รวมถึงรถพ่วงและรถกึ่งพ่วง)
- มีช่วงเวลาห้ามวิ่งที่เข้มงวดกว่า
- ช่วงเช้า: เวลา 06.00 น. – 09.00 น.
- ช่วงเย็น: เวลา 15.00 น. – 21.00 น.
3. สำหรับรถบรรทุกสารเคมี หรือวัตถุอันตราย
-
มีข้อจำกัดที่เข้มงวดเป็นพิเศษและช่วงเวลายาวนานกว่า เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
-
ช่วงเช้า: เวลา 06.00 น. – 10.00 น.
-
ช่วงเย็น: เวลา 15.00 น. – 22.00 น.
-
ข้อยกเว้นและข้อควรรู้
-
รถบรรทุกขนาดเล็ก (ไม่เกิน 2.2 ตัน หรือรถ 4 ล้อ)
สามารถวิ่งในเขตกรุงเทพมหานครได้ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา -
ขอบเขตห้ามวิ่ง
พื้นที่ห้ามวิ่งคือพื้นที่ที่อยู่ ภายใน ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ซึ่งหมายความว่ารถบรรทุกประเภทที่ถูกจำกัด จะไม่สามารถวิ่งเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ หรือพื้นที่ที่อยู่ภายในวงแหวนได้ในช่วงเวลาที่กำหน ดนั้นๆ -
ประกาศเฉพาะกิจ
ควรตรวจสอบประกาศจากกองบังคับการตำรวจจราจร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ เนื่องจากอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือประกาศเพิ่มเติมสำหรับบางช่วงเวลา เช่น เทศกาลสำคัญ หรือมีเหตุการณ์พิเศษ
การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้การขนส่งของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด และที่สำคัญที่สุดคือ ปลอดภัยสำหรับทุกคนบนท้องถนน

Edito visuel contexte x multiway Tyre
Camion blanc roulant sur une autoroute
เลือกใช้ยางรถบรรทุกมิชลินเพื่อความคุ้มค่าทางธุรกิจของคุณ
การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามกฎหมายน้ำหนักรถบรรทุกที่เข้มงวด ถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ จึงทำให้ผู้ประกอบการทุกรายต่างมองหายางที่สามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และที่สำคัญที่สุดคือความคุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งยางรถบรรทุกมิชลินถูกออกแบบมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชันที่ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืน
1. ประหยัดน้ำมันสูงสุดภายใต้การบรรทุกตามกฎหมาย
ต้นทุนค่าน้ำมันเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่มากที่สุดของธุรกิจขนส่ง การที่ยางสามารถลดแรงต้านทานการหมุนได้มากเท่าไหร่ ก็จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากเท่านั้น ยางรถบรรทุกมิชลินได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น INFINICOIL Technology และส่วนผสมยางที่เน้นการประหยัดพลังงานโดยเฉพาะ ทำให้ยางมีการเสียรูปน้อยที่สุดขณะหมุน
- ผลลัพธ์: แม้ว่ารถของคุณจะบรรทุกน้ำหนักเต็มพิกัดตามกฎหมายกำหนด ยางมิชลินก็ยังคงสามารถรักษาแรงต้านทานการหมุนที่ต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานน้อยลงและประหยัดน้ำมันมากกว่า ซึ่งหมายถึงการลดต้นทุนการดำเนินงานในทุกๆ กิโลเมตรที่วิ่ง
2. ความทนทานและอายุการใช้งานที่ยาวนานแม้ใช้งานอย่างหนัก
การบรรทุกน้ำหนักตามกฎหมายเป็นประจำ ย่อมสร้างแรงกดและแรงเค้นมหาศาลให้กับยาง ยางที่ไม่ได้มาตรฐานอาจสึกหรอเร็วกว่ากำหนด นำไปสู่การเปลี่ยนยางบ่อยครั้งและเพิ่มค่าใช้จ่าย ยางรถบรรทุกมิชลินถูกออกแบบมาด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ เพื่อรองรับการใช้งานภายใต้ภาระหนักอย่างต่อเนื่อง
- ผลลัพธ์: สามารถมั่นใจได้ว่ายางมิชลินจะทนทานต่อการใช้งานภายใต้น้ำหนักบรรทุกตามกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการสึกหรอผิดปกติ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ทำให้รถของคุณพร้อมทำงานอยู่เสมอ ลดเวลาหยุดซ่อมบำรุง และลดความถี่ในการลงทุนซื้อยางใหม่
3. เพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพในการขับขี่
การขับขี่รถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเต็มพิกัดตามกฎหมายต้องการความมั่นใจในด้านความปลอดภัยสูงสุด ยางมิชลินได้รับการออกแบบด้วยลายดอกยางและส่วนผสมยางที่ให้การยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยมในทุกสภาพอากาศ ทั้งยังมอบเสถียรภาพในการทรงตัวและการควบคุมรถที่แม่นยำยิ่งขึ้น
- ผลลัพธ์: ผู้ขับขี่จะมีความมั่นใจในการบังคับควบคุมรถที่บรรทุกน้ำหนักเต็มที่ ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการเสียการทรงตัว หรือระยะเบรกที่ยาวเกินไป ซึ่งไม่เพียงช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกด้วย
4. คุ้มค่าในระยะยาวด้วยความสามารถในการหล่อดอกซ้ำ
สำหรับรถบรรทุก การหล่อดอกยางซ้ำ (Retreading) ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดต้นทุนระยะยาว โครงยาง (Casing) ของมิชลินได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพสูงและมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ยางสามารถนำไปหล่อดอกซ้ำได้หลายครั้ง
- ผลลัพธ์: การลงทุนในยางมิชลินคือการลงทุนใน "สินทรัพย์" ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้หลายครั้ง เพราะโครงยางคุณภาพสูงของมิชลินสามารถนำไปหล่อดอกใหม่ได้ ช่วยยืดอายุการใช้งานของยางออกไปอีกหลายเท่าตัว ลดต้นทุนการซื้อยางใหม่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
การเลือกใช้ยางรถบรรทุกมิชลิน จึงไม่ใช่แค่การซื้อยาง แต่เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาด เพื่อเพิ่มความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยให้กับธุรกิจโลจิสติกส์ของคุณ ในขณะเดียวกันก็มั่นใจได้ว่าคุณปฏิบัติตามกฎหมายน้ำหนักรถบรรทุกอย่างเคร่งครัด