
Truck parked in front of a logistics platform
Camion devant un entrepôt de distribution avec des quais de chargement
โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คือสิ่งที่ช่วยทั้งโลกและธุรกิจขนส่งมากกว่าที่คุณคิด
"โลจิสติกส์สีเขียว" เป็นแนวคิดที่ผสานการจัดการขนส่งและห่วงโซ่อุปทานเข้ากับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตั้งแต่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานทดแทน การจัดการของเสีย และการมีห่วงโซ่อุปทานสีเขียว ซึ่งแตกต่างจากโลจิสติกส์แบบดั้งเดิมที่เน้นประสิทธิภาพทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว การเปลี่ยนไปสู่โลจิสติกส์สีเขียวจะช่วยให้ธุรกิจขนส่งลดต้นทุน สร้างภาพลักษณ์ที่ดี เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดย Michelin เองก็ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในทุกมิติของห่วงโซ่อุปทานและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในหลายๆ ด้าน ธุรกิจทุกภาคส่วนจึงหันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือ โลจิสติกส์สีเขียว หรือ Green Logistics ที่ไม่ได้เป็นเพียงกระแส แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งเป็นจำนวนมาก
รายงานของ World Economic Forum ระบุว่า ธุรกิจโลจิสติกส์และการขนส่งมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 11% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของโลก สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า โลจิสติกส์สีเขียวไม่ได้เป็นเพียงแค่การรับผิดชอบต่อโลก แต่ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญอีกด้วย มิชลินจึงอยากจะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงเรื่องโลจิสติกส์สีเขียวให้มากขึ้น
Green Logistics หรือโลจิสติกส์สีเขียวคืออะไร?
โลจิสติกส์สีเขียว (green logistics) คือแนวคิดที่ผสานการจัดการกระบวนการขนส่งและห่วงโซ่อุปทานเข้ากับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพทางธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยโลจิสติกส์สีเขียวจะครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การจัดเก็บ การกระจายสินค้า ไปจนถึงการจัดการของเสีย โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดมลพิษในทุกขั้นตอน ซึ่งสอดคล้องกับการที่ Michelin ตั้งเป้าหมายสู่การบรรลุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Emission) ภายในปี 2050
สำหรับการเปลี่ยนไปสู่ green logistics อย่างแท้จริงจะมีองค์ประกอบดังนี้
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
-
การใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า หรือ รถบรรทุกพลังงานไฮโดรเจนที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขณะใช้งานให้เป็นศูนย์
-
การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงของยานพาหนะ ด้วยการเลือกใช้ยางประหยัดน้ำมันสำหรับรถบรรทุกที่ลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันได้ต่อเนื่องในระยะยาว
-
การวางแผนเส้นทางการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดการใช้พลังงาน
การใช้พลังงานทดแทน
-
การใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมในคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานที่ผลิตขึ้นจากก๊าซหรือการเผาไม้สิ่งต่างๆ ได้
-
การใช้พลังงานชีวภาพในกระบวนการขนส่ง
การจัดการของเสีย
-
การลดปริมาณขยะและของเสียในกระบวนการโลจิสติกส์ เช่น การนำยางรถบรรทุกเก่ากลับมารีไซเคิล
-
การรีไซเคิลและนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ เช่น การใช้ยางรถบรรทุกที่สามารถหล่อดอกยางใหม่ได้
-
การลดบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น เช่น กล่องลังกระดาษที่หนาเกินไป หรือถุงพลาสติกที่ไว้ใช้ห่อหุ้มสินค้าหลายชั้น เป็นต้น
Supply chain สีเขียว
-
การจัดการห่วงโซ่อุปทานโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น การวางแผนเส้นทางการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดการใช้พลังงาน
-
การเลือกใช้ผู้ให้บริการในเรื่องต่างๆ ที่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน

Background picture long-distance freight haulage Freight transport
Poids lourd sur autoroute
ความแตกต่างระหว่างโลจิสติกส์แบบดั้งเดิมกับโลจิสติกส์สีเขียว
หลายคนคงมีคำถามว่าโลจิสติกส์แบบดั้งเดิมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน กับ green logistics ที่มีการพูดถึงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น มีข้อดีหรือจุดที่แตกต่างกันที่ตรงไหนบ้าง มิชลินได้สรุปออกมาสั้นๆ เพื่อให้คุณเข้าใจได้ไม่ยาก ดังนี้
โลจิสติกส์แบบดั้งเดิม
โลจิสติกส์แบบดั้งเดิมเน้นไปที่การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าเป็นหลัก โดยมักใช้ยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมาก การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายยากและสร้างขยะจำนวนมาก การวางแผนเส้นทางขนส่งที่ไม่เหมาะสมทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและเวลา สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

truck on highway
โลจิสติกส์สีเขียว
โลจิสติกส์สีเขียวเป็นการปรับแนวคิดจากโลจิสติกส์แบบดั้งเดิมที่เน้นเพียงประสิทธิภาพและการลดต้นทุน ไปสู่การคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง ไปจนถึงการจัดการของเสีย โดยมองว่าการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบทางธุรกิจที่มีต่อผู้คนและทุกสิ่งบนโลกใบนี้นั่นเอง

Background ecosystem michelin group Corporate fleet
3 ประโยชน์ที่ธุรกิจขนส่งจะได้รับเมื่อเปลี่ยนมาสู่แนวทาง green logistics
การเปลี่ยนแปลงสู่แนวทางโลจิสติกส์สีเขียว (green logistics) ไม่เพียงแต่เป็นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสร้างประโยชน์อย่างมากให้กับธุรกิจขนส่งที่ใช้งานรถบรรทุกหลากหลายประเภท ซึ่ง Michelin ในฐานะผู้พัฒนาและผลิตยางรถบรรทุกชั้นนำของโลก จะพาคุณไปดูว่าอะไรคือประโยชน์ทั้งสามข้อที่ธุรกิจขนส่งจะได้รับจากการดำเนินงานตามแนวทางโลจิสติกส์สีเขียวบ้าง
1. ลดต้นทุนการดำเนินงาน
-
การใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ: การวางแผนเส้นทางการขนส่งที่ดีขึ้น หรือเลือกใช้ยางรถบรรทุกประหยัดน้ำมัน อย่าง MICHELIN X® MULTI™ ENERGY™ Z ที่ช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างมาก แถมยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในระยะยาว
-
การจัดการวัสดุและบรรจุภัณฑ์: การใช้วัสดุรีไซเคิลและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนในการจัดการของเสีย รวมถึงการเลือกใช้ยางรถบรรทุกของมิชลินที่สามารถหล่อดอกยางเพื่อใช้ซ้ำได้ เพื่อช่วยลดการใช้วัสดุในการผลิตยางและลดต้นทุนการซื้อยางเส้นใหม่ไปพร้อมกัน
-
การบำรุงรักษายานพาหนะ: การบำรุงรักษารถบรรทุกและยางอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและยืดอายุการใช้งาน ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นใหม่ ซึ่งจากข้อมูลระบุว่า ค่าบำรุงรักษาคิดเป็น 4% ของค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจขนส่ง
2. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน
-
ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม: การที่คู่ค้าเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งที่ดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางโลจิสติกส์สีเขียว จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด
-
ตอบสนองความต้องการของลูกค้า: ลูกค้าในปัจจุบันต้องการสินค้าและบริการที่ยั่งยืน การทำให้พวกเขาเห็นธุรกิจปรับไปสู่แนวทางที่รักษ์โลกจะยิ่งช่วยดึงดูดและรักษาลูกค้าได้มากขึ้น
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
-
การใช้เทคโนโลยี: ระบบติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้ธุรกิจโลจิสติกส์สามารถวางแผนการขนส่ง จัดการคลังสินค้า และลดความสูญเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมิชลินมีโซลูชันบริหารจัดการยางโดยทีมงานมืออาชีพ ที่พร้อมช่วยให้ธุรกิจขนส่งดำเนินการได้อย่างราบรื่นและคุ้มค่าที่สุด
-
การลดการปล่อยมลพิษ: การใช้ยานพาหนะไฟฟ้าหรือพลังงานทางเลือก ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและทำให้คุณภาพอากาศโดยรวมดีขึ้น นอกจากนี้ การเข้ารับบริการตรวจเช็กยางรถบรรทุกและระบบช่วงล่างที่ศูนย์บริการแบบครบวงจรของมิชลิน ก็ยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ในอีกทางหนึ่งด้วย
Michelin ใส่ใจต่อการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในทุกมิติ
กว่า 90% ของคาร์บอนฟุตพรินต์นั้นเกิดขึ้นจากธุรกิจโลจิสติกส์นั้นมาจากยางรถยนต์หรือยางรถบรรทุกที่ใช้กันอยู่ มิชลินจึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งมั่นที่จะลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจและโลกของเรา
มิชลินมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ยางรถบรรทุกประหยัดน้ำมันที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไปจนถึงเทคโนโลยีร่องดอกยางที่เกิดขึ้นใหม่ (REGENION) ที่ช่วยให้ยางรถบรรทุกแข็งแกร่งและใช้ได้นาน ตลอดจนการที่ยางรถบรรทุกของมิชลินหลายๆ รุ่นที่สามารถหล่อดอกยางหรือเซาะร่องเพื่อยืดอายุการใช้งานให้มากกว่าเดิม นอกจากนี้ เรายังสนับสนุนให้มีการรีไซเคิลยางรถบรรทุก เพื่อลดปริมาณขยะและลดการใช้วัสดุผลิตยางได้อย่างมหาศาล
เราเชื่อว่าการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบ แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าของเราอีกด้วย

photo long haul truck
Mercedes-Benz Trucks - Driving Experience
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)
ถาม: โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในปัจจุบัน
ตอบ: โลจิสติกส์สีเขียวคือแนวคิดการจัดการกระบวนการขนส่งและห่วงโซ่อุปทานโดยคำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ซึ่งการปรับเปลี่ยนสู่โลจิสติกส์สีเขียวจึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความสมดุลระหว่างธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคม และยังสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ไปพร้อมกัน
ถาม: โลจิสติกส์สีเขียวแตกต่างจากโลจิสติกส์แบบดั้งเดิมอย่างไร
ตอบ: โลจิสติกส์แบบเดิมมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพด้านต้นทุนและความรวดเร็วในการขนส่งเป็นหลัก โดยอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากนัก ในขณะที่โลจิสติกส์สีเขียวผสานเอาเป้าหมายด้านความยั่งยืนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเข้ากับทุกขั้นตอนของกระบวนการ
ถาม: การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโลจิสติกส์สีเขียวสามารถทำได้อย่างไรบ้าง
ตอบ: ธุรกิจขนส่งจะได้รับประโยชน์หลายประการจากการเปลี่ยนมาใช้แนวทางโลจิสติกส์สีเขียว ได้แก่
1. ลดต้นทุนการดำเนินงาน
2. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน จากการวางแผนเส้นทางที่ดีขึ้น
ถาม: การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโลจิสติกส์สีเขียวสามารถทำได้อย่างไรบ้าง
ตอบ: สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (รถบรรทุกไฟฟ้า/ไฮโดรเจน), ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงของยานพาหนะ (ใช้ยางประหยัดน้ำมัน), วางแผนเส้นทางการขนส่งที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดระยะทางและเวลา, และใช้พลังงานทดแทนในคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า
ถาม: มิชลินมีบทบาทอย่างไรในการสนับสนุนโลจิสติกส์สีเขียว
ตอบ: มิชลินให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในทุกมิติของห่วงโซ่อุปทาน พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ยางรถบรรทุกประหยัดน้ำมัน, เทคโนโลยีร่องดอกยาง REGENION ที่ยืดอายุการใช้งานยาง, และยางรถบรรทุกที่สามารถหล่อดอกยางหรือเซาะร่องได้ นอกจากนี้ มิชลินยังสนับสนุนการรีไซเคิลยางรถบรรทุก เพื่อลดปริมาณขยะและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ คุณยังอาจสนใจหน้าความช่วยเหลือและคำแนะนำเหล่านี้:
• ข้อมูลพื้นฐานและเครื่องหมายเกี่ยวกับยาง
• โครงสร้างและคุณสมบัติการทำงานของยาง
• คำแนะนำการใช้งาน
• ข้อบังคับในสหราชอาณาจักร
• กฎหมายในยุโรป
• All you need to know about European truck tyre labelling